การดื่มไวน์ไม่ใช่สิ่งที่แย่ เนื่องจากไวน์มีคุณประโยชน์มากมาย และ ถ้าหากคุณไม่ใช่สายไวน์ เกิดคำถามว่า ไวน์ดื่มอย่างไร หรือ อยากทราบถึงวิธีการดื่มไวน์ที่ถูกต้อง หรือประดับไว้เป็นความรู้ เมื่อสักวันหนึ่งจะได้นำมาใช้ในการเข้าสังคม หรือการเข้าร่วมเป็นสายไวน์ โดยสามารถจำและนำไปใช้ได้ง่าย ๆ เพียง 4 ชั้นตอน คือ ดู แกว่ง ดม และ จิบ
- ไวน์แดง (Red Wine) เหมาะกับอาหารที่ทำจากสัตว์เนื้อแดง เนื้อขาว ไส้กรอก/แฮม ขนมปัง ชีสแข็ง หรือ ผักย่าง เนื่องจากรสชาติฝาดของไวน์ จะไปตัดกับความมันของเนื้อ ทำให้ไม่เลี่ยน แต่ไวน์แดงจะไม่เหมาะกับอาหารทะเล เพราะจะยิ่งดึงความคาวออกมา แต่ถ้าเป็นไวน์แอลกอฮอล์ต่ำ (Light) สามารถทานร่วมกับอาหารทะเลเปลือกแข็งได้ ส่วนอาหารรสจัดหรือเผ็ดก็ไม่เหมาะกับไวน์แดง เพราะความฝาดจะเปลี่ยนเป็นรสขม
- ไวน์ขาว (White Wine) จะตรงข้ามกับไวน์แดง เพราะเหมาะกับอาหารทะเล และอาหารที่มีรสเผ็ดได้มากกว่า เช่น ปลา เนื้อขาว อาหารทะเลเปลือกแข็ง ชีสทุกชนิด ไส้กรอก แฮม ผักย่างและขนมหวาน เนื่องจากไวน์ขาวจะเสิร์ฟมาด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่าไวน์แดง ทำให้สามารถกลบกลิ่นคาวของอาหารทะเลได้ ด้วยความเย็นและรสเปรี้ยวของไวน์ และสร้างความสดชื่นเมื่อทานคู่กับอาหารเผ็ดรสจัด
- สปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine) เหมาะกับอาหารเบาๆ อย่างเช่น สลัด ขนมปัง ผัก ชีสทุกชนิด หอย ปลา หรืออาหารทะเล ส่วนมากนิยมดื่มเป็นแก้วเริ่มต้นมื้ออาหารเรียกน้ำย่อย หรือจิบคู่กับอาหารเบาๆ เนื่องจากมีรสซ่าและรสอมเปรี้ยว สามารถสร้างความสดชื่นได้มาก
การดู
สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อไวน์ถูกเสิร์ฟลงในแก้ว คือ การดู โดยการหยิบก้านแก้ว หรือ ขาแก้วขึ้นมา เพื่อดูพิจารณาสี ความขุ่น ความเจือจาง และ ความเข้มข้นของไวน์ ด้วยวิธีการดูนี้สามารถบ่งบอกเบื้องต้นได้ว่าไวน์ดังกล่าวนั้นมีบดี้ที่เข้มข้นมากเพียงใด ซึ่งเป็นได้ว่าไวน์ที่มีความใสกว่านั้นมีบอดี้ที่เบา (Light) หากไม่ใสมากนักอาจเป็นรสสัมผัสแบบปานกลาง (Medium) หรือหากเข้ม ทึบ ไวน์นั้นอาจมีบอดี้ที่เต็ม (Full) ซึ่งเบื้องต้นนี้ไม่สามารถบ่งบอกในเรื่องของรสชาติได้
การแกว่ง
ซึ่งการดูสามารถสังเกตได้อีกหนึ่งสิ่งคือ ปริมาณของแอลกอฮอล์ ด้วยวิธีการแกว่ง ที่หลาย ๆ คนมักเคยเห็นกัน หรือเรียกกันว่า Swirl เป็นการแกว่งไวน์ในแก้วให้หมุนเบา ๆ ไปรอบ ๆ แก้ว ทำให้กลิ่นค่อย ๆ กระจายออกมา พร้อมทั้งเกิดขาไวน์ หรือไวน์ที่ค่อย ๆ ไหลลงมาที่แก้ว ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ว่าขาไวน์นั้นเป็นอย่างไร ถ้าหากไหลลื่นอย่างไม่ทิ้งร่องรอยบนขอบแก้วราวกับน้ำเปล่า หมายถึงไวน์มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่สูง หรือหนืดติดแก้วแบบค่อยๆ ไหลกลับลงจากขอบแก้วช้าๆ บ่งบอกถึงปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูง รวมไปถึงปริมาณของน้ำตาลในตัวไวน์อีกด้วย
การดม
การดมนั้นสามารถบ่งบอกถึงความเข้มข้นของเนื้อไวน์ได้ ว่ามีความจางหรือเข้มข้นมากน้อยเพียงใด ซึ่งควรดมไวน์จากแก้ว เพื่อให้ไวน์ได้สัมผัสกับอากาศและทำให้ได้กลิ่นของไวน์ชัดเจนมากขึ้น เพื่อพิจารณาว่ามีกลิ่นแปลกหรือไม่ หรือมีความผิดปกติหรือไม่
ถ้าหากยกแก้วแล้วได้กลิ่นตั้งแต่ยังไม่เข้าใกล้จมูก แสดงถึงไวน์ที่มีความเข้มข้น จนทำให้ได้กลิ่นที่ชัดเจน ถ้าหากดมแล้วไม่ค่อยได้กลิ่น เป็นไปได้ว่าไวน์นั้นมีความเข้มข้นที่ต่ำ นอกเหนือจากบอกความเข้มข้น กลิ่นยังสามารถบ่งบอกได้อีกด้วยว่าไวน์นี้มีผลไม้ประเภทใดบ้าง
การจิบ
ในขั้นตอนสุดท้าย คือการจิบ เพื่อลิ้มรสชาติของไวน์ ซึ่งควรจิบทีละนิด ค่อย ๆ จิบเพื่อรับรสความหวาน เปรี้ยว และ ฝาด รวมถึงกลิ่นที่อบอวลอยู่ในปาก จนไปถึงลำคอ ด้วยการจิบไวน์เล็ก ๆ กลั้วไวน์ให้ทั่ว โดยกลั้วเบา ๆ รอบปาก อมไวน์ไว้ในปากประมาณ 5-10 วินาที ก่อนกลืน เพื่อดูดซับรสชาติจริง ๆ และความเข้มข้นหรือจางของตัว Body ไวน์
ซึ่งถ้าหากลิ้นยังสามารถรับรสที่ได้จากไวน์ในปากหลังจากจิบไปเกินห้าวินาที นั่นอาจแปลว่าไวน์นั้นมีรสชาติที่ยาวนาน (Long finish) และมีรสที่สั้น (Short finish) หากรสนั้นคงอยู่ไม่นานเกิน 3 วินาที ซึ่งสามารถบ่งบอกคุณภาพของไวน์นั้นๆ ได้
หลังจากได้คำตอบที่ว่า ไวน์ดื่มอย่างไร เบื้องต้นแล้ว อย่าลืมรินไวน์ใส่แก้ว แล้วจิบกันหน่อยครับ ถ้าหากยังไม่มีไวน์ สามารถติดต่อสอบถาม หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็ปไซต์ Liquid Library หรือช่องทาง Social Media อื่น ๆ ได้เช่นกันครับ
Facebook : Liquid Library
Instargram : liquidlibrary.info