การเลือกไวน์ระหว่าง Single-Varietal Wine และ Blended Wine เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากท่ามกลางคอไวน์ รวมถึงยังเป็นเรื่องที่เหล่าคอใหม่มือใหม่สงสัยอีกด้วย ว่าในประเภทไหนถือว่าดีกว่ากัน
และควรดื่มแบบไหน อย่างไรก็ตาม คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก แน่นอนว่าแล้วแต่ความชื่นชอบส่วนบุคคล แต่ถึงอย่างไรมันก็คุ้มค่าที่จะซื้อไวน์ประเภทต่าง ๆ มาทดลอง การรู้ว่ามีอะไรอยู่ในขวดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นชนิดเดียวหรือผสมหลายๆ ชนิด ก็สามารถทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งมากขึ้นทุกครั้งที่จิบ และก่อนจะซื้อไวน์มาทดลอง เรามาเริ่มต้นกันว่า Single-Varietal Wine และ Blended Wine คืออะไร
Single-Varietal Wine คืออะไร?
Single-varietal wine ในแบบฉบับไวน์โล่เก่า คือ ไวน์ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยองุ่นเพียงชนิดเดียว แต่ในแบบฉบับของไวน์โลกใหม่ คือ ไวน์ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยองุ่นพันธุ์หลักอย่างน้อย 75% และมีการอนุญาตให้ใช้พันธ์ุองุ่นอื่น ๆ ได้ในสัดส่วนที่เล็กน้อย ซึ่งการถูกเรียกว่า Single-varietal wine จะแล้วแต่กฎของพื้นที่นั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา การที่จะเป็น Single-varietal wine นั้นจะต้องมีสัดส่วนขององุ่นนั้นอย่างน้อย 75% หรือบางพื้นที่ของประเทศสหรัฐอเมริกา จะต้องมีสัดส่วนมากถึง 90%
สำหรับลักษณะของ Single-varietal wine จะได้รับรสชาติ กลิ่น และโครงสร้างคาแรคเตอร์ขององุ่นแต่ละสายพันธุ์ได้ดี จึงทำให้เหมาะแก่การเรียนรู้ และยังช่วยให้นักดื่มรู้ว่าสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเทคนิคต่างๆที่ winemaker ใช้ส่งผลต่อไวน์ที่เราดื่ม (Final wine) อย่างไร
ตัวอย่างไวน์ Single-varietal คือ องุ่นพันธุ์ Merlot ที่มีเนื้อนุ่มของ Merlot ช่วยให้ได้รสชาติพลัมที่อร่อยเหมือนเค้กผลไม้ และความนุ่มนวลที่กลมกล่อม ซึ่งทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าองุ่นในเครืออย่าง Cabernet Sauvignon อาจมีความเอิธเล็กน้อยและคล้ายพริกหยวกจากบริเวณที่มีอากาศเย็น และจะให้ความรู้สึกของแบล็คเคอร์แรนท์ แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ช็อคโกแลต และเครื่องเทศเมื่อสุกเต็มที่ เวอร์ชันชิลีมักจะผลิตสีแดงฉ่ำพร้อมรสชาติพาสเทลแบล็คเคอร์แรนท์
Blended Wine คืออะไร?
Blended Wine คือ ไวน์ที่ใช้องุ่นแตกต่างสายพันธุ์กันอย่างน้อง 2 สายพันธุ์ในการผสม ซึ่งสามารถผสมได้หลายวิธี บางครั้งจะถูกเลือกและหมักด้วยกัน และบางครั้งจะถูกผสมบ่มในห้องใต้ดิน ซึ่งควรทำให้เกิดความสะดุลกันของลักษณะเฉพาะของแต่ละพันธุ์ที่หลากหลาย ส่งผลทำให้มีโปรโฟล์รสชาติ และโครงสร้างที่ซับซ้อน
สำหรับลักษณะของ Blended Wine จะได้กลิ่นและรสชาติที่หลากหลายมากขึ้น สาเหตุก็คือองุ่นแต่ละผลที่ผสมเข้าด้วยกัน ที่มีหลากหลายคาแรคเตอร์ ทำให้มีความงดงาม ซึ่งไวน์แต่ละขวดจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามองุ่นที่ใช้ และการบ่ม ผู้ผลิตทุกคนจึงให้ความสำคัญกับอัตราส่วนที่สามารถทำให้ได้ไวน์ที่ดีที่สุดออกมา
ตัวอย่างมีของไวน์โลกเก่า เช่น Bordeaux ซึ่งสามารถผสมหลัก Cabernet Sauvignon กับ Merlot และ Cabernet Franc และมีพันธุ์องุ่นต่าง ๆ อีกมากมายที่สามารถเอามาผสมร่วมเสริมด้วยได้
ในส่วนของไวน์โลกใหม่ เช่น GSM – Grenache, Syrah, Mourvèdre – ผสมผสานที่เปี่ยมด้วยรสชาติที่มีชีวิตชีวา
ตรงกันข้ามกับความคิดทั่วไป Blended Wine ไม่ได้เป็นเพียงการลดต้นทุน หรือปกปิดการขาดดุลจากไวน์พันธุ์เดียวเท่านั้น แต่เป็นไวน์ที่สร้างขึ้นอย่างมีศิลปะเพื่อประสบการณ์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งมักพบเห็นในฉลากที่ได้รับการยกย่อง เช่น ไวน์ Châteauneuf – du – Pape หรือ Super Tuscan การผสมผสานองุ่นหลายชนิดสามารถลดความเข้มข้น เพิ่มชั้นของรสชาติ และดึงลักษณะเฉพาะขององุ่นแต่ละชนิดออกมาได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือไวน์ที่มีความหลากหลาย พร้อมทั้งความซับซ้อนที่ทำให้เราหลงใหล ส่วนผสมยังให้ความยืดหยุ่นแก่ผู้ผลิตไวน์ด้วยการควบคุมจุดเด่นขององุ่นชนิดต่างๆ เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอในไวน์ทุกขวด นอกจากนี้ การผสมยังให้โอกาสในการแสดงความหลากหลายของไร่องุ่น และอิทธิพลของพื้นที่อีกด้วย ส่งผลให้ไวน์มีปริมาณมากกว่าผลรวมของส่วนต่างๆ
ไวน์ทุกขวดล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และมีดีในทุกขวด ขึ้นอยู่กับว่าไวน์ประเภทไหน หรือขวดไหนนั้นถูกใจคุณมากกว่ากัน รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งบรรยากาศ และอาหารที่ควบคู่ด้วย ทาง Liquid Library จึงอยากแนะนำให้เหล่าคอไวน์ใช้วิธีในการทดลองดื่มไวน์แต่ละชนิด จนได้สไตล์ไวน์ที่ถูกปากมากที่สุด หรือคือ การเลือกไวน์ให้ตรงกับรสนิยมที่ตัวเองชอบที่สุด ถ้าหากต้องการหาไวน์ สามารถติดต่อทาง Liquid Library ได้ทุกช่องทาง
หลังจากที่ได้ทราบถึงประเภทของไวน์ในแต่ละชนิดแล้ว ถ้าหากอยากทราบที่ลึกกว่านั้น โดยการชิมสามารถติดต่อสอบถาม หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็ปไซต์ Liquid Library หรือช่องทาง Social Media อื่น ๆ ได้เช่นกันครับ
Facebook : Liquid Library
Instargram : liquidlibrary.info