คุณเคยได้ยินคำว่า “First Wines” และ “Second Wines” หรือ Third หรือ มากกว่านี้ หรือไม่ ถ้าคุณยังไม่รู้จัก วันนี้ทาง Liquid Library จะรวบรวมข้อมูลมาไขกระจ่างว่า Second Wine คืออะไร? หยิบไวน์สักแก้ว แล้วอ่านบทความไปพร้อมกัน
First Wine หรือ Grand Vin คืออะไร
ในช่วงปี ค.ศ. 1855 ผู้ผลิตไวน์ในบอร์กโดซ์ ทุ่มเทกับการทำไวน์มาก ไม่ว่าจะเรื่องทรัพยากรจำนวนมาก ความใส่ใจสุดพิเศษ ความรู้ความสามารถ และทักษะทั้งหมดเกี่ยวกับไวน์ เพื่อผลิตไวน์ Grand Vin หรือบางครั้ง ถูกเรียกว่า “First Wine” ซึ่งคือ ไวน์ชั้นแรกที่ผลิตจากองุ่นที่ดีที่สุด เก็บเกี่ยวเมื่อสุกเต็มที่กำลังดี จากเถาองุ่นที่ดีที่สุด และจากพื้นที่ดีที่สุด
องุ่นที่เก็บเกี่ยวจากดินที่ดีที่สุดต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มงวดเพื่อผลิตไวน์ระดับพรีเมียม ตั้งแต่การตรวจสอบเถาวัลย์ทุกวันไปจนถึงระดับความสุกงอม คำนึงถึงสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศ ทั้งหมดนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเก็บเกี่ยวได้ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด องุ่นจะถูกคัดแยกมากกว่าหนึ่งครั้ง บางครั้งโดยเครื่องคัดแยกด้วยแสงที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จากนั้นอีกครั้งด้วยมือและตา เพื่อให้แน่ใจว่าองุ่นที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะถูกนำมาใช้ในการผลิตไวน์ครั้งแรก
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาถึงขั้นตอนการคัดเลือกที่เข้มงวดแล้ว องุ่นบางชนิดจากผืนดินที่ดีที่สุดก็ไม่ค่อยได้เกรดที่จะใช้สำหรับไวน์ชนิดแรก ดังนั้นบางครั้งองุ่นเหล่านั้นจึงถูกนำมาผลิตไวน์อีกระดับที่เรียกว่า “Second Wine”
Second Wine หรือ Second Label คืออะไร

Second Wine หรือ Second Label เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 ในภูมิภาคบอร์กโดซ์ของฝรั่งเศส เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ผลิตไวน์บอร์ดโดซ์สามารถเลือกไวน์เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น โดยไม่สิ้นเปลืองวัตถุดิบสิ้นเปลืองที่เหลือ น้ำองุ่นที่ดีที่สุดจะถูกส่งไปยังถังที่ดีที่สุด และไวน์ที่ดีที่สุดจะถูกส่งไปยังถังไวน์ขนาดใหญ่ ทำให้ในหลายครั้ง จะยังคงหลงเหลือไวน์ดี ๆ อยู่บางส่วนที่ไม่ได้นำไปผสมในขั้นตอนสุดท้าย จึงทำให้ถูกนำมาบรรจุขวดเป็น Second Wine ได้ และมักจะขายในราคาส่วนลดมากเมื่อเทียบกับราคาของไวน์แกรนด์วินของโรงกลั่น
ซึ่ง Second Wine หรือ Second Label อาจสามารถคัดแยกได้ตั้งแต่ในสวนองุ่น (มักจะเป็นเถาองุ่นที่ดีแต่ยังมีอายุที่น้อย) หรือในโรงบ่มไวน์ หลังจากทีไวน์ถูกบ่มในถังและถูกชิมแล้ว หากยังมีหลงเหลืออยู่จะถูกทำเป็น Second Wine หรือในบางแบรนด์ที่ไม่ต้องการทำขวดเพิ่มเติมจะขายออกไปเพื่อบรรจุลงในแบรนด์อื่น โดยผู้ผลิตมักจะใช้วิธีการผลิตแบบเดียวกัน หรือคล้ายกับไวน์ Grand Vin ที่มีราคาแพงกว่า มาขายในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้ค่อนข้างได้รับความนิยมจากคอไวน์ และสามารถสัมผัสและรู้สึกถึงโร่งกลั่นไวน์ระดับ Top ได้ โดยปกติจะมีไว้เพื่อความบันเทิงในระยะสั้นมากกว่า เมื่อเทียบกับ Grand Vin ที่อาจจะเหมาะกับการเก็บในห้องใต้ดินนานหลายปี และการมี Second Wine จะทำให้โรงบ่มไวน์ไม่จำเป็นต้องหยุดทำไวน์ เพราะสามารถผลิต Second Wine หรือถึงระดับ Third Wine และ Fourth Wine ได้ด้วย ทำให้สามารถทำเงินได้ตลอดเวลา มากไปกว่านั้นกับไวน์บอร์กโดซ์ยังมีราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และก้าวขึ้นมาเป็นไวน์ระดับโลก ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็น Second Wine ยังคงมีราคาที่แพงกว่าขวดทั่วไปบนชั้นวางของขาย ถือได้ว่ามีค่าในการเก็บสะสมอยู่มาก ซึ่งมักจะไม่มีคำว่า “Château” อยู่ในชื่อ แต่มักใช้ชื่อโรงกลั่นไวน์เพื่อเพิ่มการจดจำชื่อ ไวน์ชนิดที่สองที่มีการเจริญเติบโตแบบจำแนกประเภท เนื่องจากเป็นไวน์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขามีสิทธิ์ใช้นามแฝงเดียวกันกับ Grand Vin เนื่องจากมาจากพื้นที่เดียวกัน
และการเกิดขึ้นของ Second Wine นั้นไม่ได้เป็นการทำการตลาดของแต่ละยี่ห้อ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว Second Wine มักไม่ถูกโปรโมทเลย ทุกยี่ห้อล้วนแต่เน้นทำการโปรโมทไวน์ระดับ Grand Vin ทั้งนั้น แต่ก็ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่เหมาะมาก ๆ เนื่องจากราคาไวน์บอร์กโดซ์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ การมี Second Wine นั้นทำให้มีไวน์ราคาระดับที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่คุณภาพยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมตามสไตล์ของผู้ผลิตนั้นๆ มากไปกว่านั้น ในปัจจุบันนั้น Second Wine นั้นได้รับการพัฒนาอย่างมาก จากการผลิตที่พัฒนาเพื่อเทียบกับ Wine Grand Vin นั่นหมายความว่า Second Wine จำนวนมากในปัจจุบันไม่เพียงแต่ดีกว่า Second Wine ใดๆ ในอดีตเท่านั้น แต่ยังดีกว่าไวน์หลายแห่งที่ผลิตในปี 1970 และส่วนใหญ่ในช่วงปี 1980 ด้วย
Explore The Second Wines

บทความเรื่องไวน์
โดย
Liquid Library
แนะนำร้านโอมากาเสะ
Ichika Omakase